การปลูกต้นไม้ พืช ผัก นั้นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อการเพาะปลูก คงหนีไม่พ้นเรื่องของปุ๋ย หรือธาตุอาหารพืช เพื่อให้เขาเจริญเติบโตงอกงาม ผลผลิตเป็นไปตามความคาดหวังของผู้ปลูก
ซึ่งปุ๋ยที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเราก็จะมี 2 กลุ่ม ได้แก่
- ปุ๋ยเคมี และ
- ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งปุ๋ยชีวภาพ มีอะไรบ้าง นั้นมีทั้งแบบปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด ชนิดน้ำ และชนิดป่น
แต่ที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปุ๋ยเคมี เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว หาง่าย แต่การใช้ปุ๋ยเคมีนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลเสียหายต่อดิน ความปลอดภัยของผู้ปลูก สัตว์เลี้ยง ผู้บริโภคจากสารตกค้างในผลผลิต
ดังนั้น ปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกและทางรอดในอนาคต สำหรับผู้ปลูกพืช ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขอแค่มีองค์ความรู้เพียงพอ เข้าใจถูกต้องก็สามารถผลิตเองได้ไม่ยาก
![ปุ๋ยชีวภาพ](https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/biofertilyzer.jpg 900w, https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/biofertilyzer-600x400.jpg 600w, https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/biofertilyzer-768x512.jpg 768w, https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/biofertilyzer-510x340.jpg 510w)
ปุ๋ยชีวภาพ คืออะไร
ปุ๋ยชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร หมายถึง ปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ที่สามารถสร้างธาตุอาหาร หรือช่วยให้ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์แก่พืช ภาษาอังกฤษนิยมใช้ Bio Fertilizer หรือ organiic Fertilizer
การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพนั้นดี แต่มีความยุ่งยาก
วิธีทำปุ๋ยชีวภาพ นั้นมีความยุ่งยากในการจัดหาวัตถุดิบ เช่น มูลสัตว์ พืชสด อุปกรณ์ต่าง ฯลฯ ประกอบกับต้องใช้เวลายาวนานในการย่อยอินทรีย์วัตถุให้กลายเป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารสำหรับพืช
และอีกเหตุผลคือเคยชินกับวิธีการแบบทำตามๆกันมา จึงทำให้การผลิตปุ๋ยชีวภาพนั้นยังมีทำกันเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เนื่องจากยังขาดองค์ความรู้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ให้มีคุณภาพ
ซึ่งการลองผิดลองถูกนั้นต้องใช้เวลา เลยยังคงใช้ปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปัจจุบัน
ปุ๋ยชีวภาพ ทำมาจากอะไร
ปุ๋ยชีวภาพของทางกลุ่มเกษตรกรชิมลอง (erev) ผลิตมาจากจุลินทรีย์ดีหลากหลายสายพันธุ์ที่รวบรวมมาจากทั่วโลก เพาะเลี้ยงและพัฒนาในห้องแลป เพื่อให้เหมาะสมกับการปลูกพืชในประเทศของเรา
![ปุ๋ยชีวภาพ](https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/ปุ๋ยชีวภาพ.jpg 900w, https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/ปุ๋ยชีวภาพ-600x400.jpg 600w, https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/ปุ๋ยชีวภาพ-768x512.jpg 768w, https://organicslife.co/wp-content/uploads/2023/06/ปุ๋ยชีวภาพ-510x340.jpg 510w)
ซึ่งประกอบไปด้วยจุลินทรีย์เข้มข้นหลายสายพันธุ์ ที่แบ่งตัวแบบทวีคูณจาก 100 เซลล์ เป็น 10,000 และจาก 10,000 เซลล์ เป็น 100 ล้านเซลล์ ภายใน 4-6 ชั่วโมง
จุลินทรีย์กลุ่มนี้มีอายุสั้นเพียง 48-72 ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อเซลล์จุลินทรีย์ตายลง พวกเขาก็จะกลายเป็นธาตุอาหารของพืชครบ 16 ธาตุ โดยจุลินทรีย์ดีหลากหลายสายพันธุ์นี้ จำแนกแบบชีวภาพได้ 8 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มให้ธาตุไนโตรเจน (N)
จุลินทรีย์กลุ่มนี้สามารถใช้ไนโตรเจนจากอากาศและเปลี่ยนให้เป็นไนเตรตซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ได้ ได้แก่
- อะโซโตแบคเตอร์
- ไรโซเบียม (Nitrobacter sp.)
- ไนโตรแบคเตอร์ (rhizobium sp.)
2.กลุ่มย่อยฟอสเฟต (P)
กลุ่มนี้ทำหน้าที่ย่อยฟอสฟอรัสในดินละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ได้แก่
- เชื้อราและแอสเปอร์จิลลัส
- ฟิวซาเรียม (Fusarium sp.)
- เพนนิซิลเลียม (Penicillium sp.)
3.จุลินทรีย์กลุ่มย่อยโปรแตสเซียม (K)
กลุ่มนี้สามารถละลายโปรแตสเซียมในดินให้ละลายออกมาในรูปที่พืชนำไปใช้ได้ ได้แก่
- แบคทีเรียกลุ่มบาซิลลัส
- บาซิลลัส (Bacillus sp.)
- มูคอร์ (Mucor sp.)
4.จุลินทรีย์กลุ่มให้ธาตุอาหารรองแก่พืช (Ca, Mg, S)
จุลินทรีย์กลุ่มนี้เมื่อตายจะถูกจุลินทรีย์ตัวอื่นย่อยสลายเปลี่ยนสภาพเป็นกลุ่มธาตุอาหารรองให้แก่พืช ได้แก่
- ยีสต์กลุ่ม
- แคนดิดา (Candida sp.)
- แซคคาโรไมซีส (Saccharomyces sp.)
5.จุลินทรีย์ กลุ่มที่ผลิตฮอร์โมนพืช
เช่น กลุ่มบาซิลลัส สามารถสร้างสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช เช่น ออกซิน จิลเบอเรลลิน และไซโตไคนิน ซึ่งช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
- เบอโคลเดอร์เรีย (Burkholderia sp.)
- ซูโดโมแนส (Pseudomonas sp.)
6.จุลินทรีย์กลุ่มทำหน้าที่เร่งย่อยสลายซากพืช และซากสัตว์
ซึ่งได้แก่
- กลุ่มแอสเพอร์จิลลัส และเซลลโมแนส
- แอสเพอร์จิลลัส (Aspergillus sp.)
- คลอสตริเดียม (Clostridium sp.)
7.จุลินทรีย์กลุ่มผลิตสารป้องกัน ทำลายเชื้อโรค และแมลงศัตรูพืช
ช่วยป้องกันและยับยั้งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรียก่อโรค ได้แก่
- แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus sp.)
- คีโตเมียม (Chaetomium sp.)
8.จุลินทรีย์กลุ่มที่สร้างสีสันให้กับพืช
ผลิตสารให้สีที่เรียกว่า แคโรทีนอยส์ (สารสีเหลือง,สารสีส้ม) และแอสตาแซนทิน (สารสีแดง) เมื่อพืช ผัก ได้รับสารดังกล่าว จะช่วยเพิ่มสีสันสวยงามน่ารับประทาน ได้แก่
- พัฟเฟียโรโดไซมา (Phaffia rhodozyma)
- โรโดทอรูลา (Rhodotorula sp.)
- Pseudomonas syringae
จุลินทรีย์ธาตุอาหารพืช หรือปุ๋ยชีวภาพ ประโยชน์มีหลากหลาย
ประโยชน์ของจุลินทรีย์ธาตุอาหารพืช “อีเรฟ” นอกจากมีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริมครบทั้ง 16 หมู่แล้ว ยังมีความปลอดภัยต่อเกษตรกร ผู้เพาะปลูก ดังนี้
- ปลอดภัย ไร้สารเคมี ไม่มีสารตกค้าง
- ขณะฉีดพ่นไม่จำเป็นต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน
- หลังฉีดพ่นสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตทานได้เลย โดยที่ไม่มีสารตกค้าง
- ปลอดภัยต่อ คน เด็กเล็ก และสัตว์เลี้ยง
- ไม่มีส่งกลิ่นรบกวน
การผลิตปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยชีวภาพ ข้อดี ข้อเสีย ได้แก่อะไร
แม้การผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบชีวภาพใช้เองจะมีข้อดีอยู่มากมาย ซึ่งจะช่วยลดอัตราการใช้ปุ๋ยเคมีลงเป็นจำนวนมากก็ตาม หากสภาพแวดล้อม กระบวนการผลิต ไม่เหมาะสม หรือไม่องค์ความรู้เกี่ยวกับที่มาของวัสดุที่นำมาผลิตเป็นปุ๋ยนั้นไม่เพียงพอ อาจส่ผลเสีย เกิดปัญหาได้ปุ๋ยที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีจุลินทรีย์ที่ส่งผลเสียต่อพืชปะปน จนทำให้ต้นไม้อ่อนแอ มีปัญหาโรคพืช และแมลงศัตรูพืชระบาดก็เป็นไปได้
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีทำปุ๋ยชีวภาพ
- วิธีทำปุ๋ยอินทรีย์สำหรับปลูกผักสวนครัวและผักออแกนิค กดลิงค์
- ต้องการปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงแต่ขี้เกียจ ก็สามารถเขาไปเลือกอุดหนุนผลิตภัณฑ์อีเรฟ ได้ที่นี่
- การผลิตปุ๋ยตามแนวทางของลุงสุเทพ กุลศรี
เพิ่มเพื่อนทางไลน์ @erevthai