วิธีการปลูกและดูแลให้ไทร มีใบเขียวแน่นตลอดนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก และก็ไม่ได้ง่ายนัก ผู้ปลูกเองต้องใส่ใจดูแลต้นไทรบ้าง ไม่ต้องถึงกับประคบประหงม โดยให้เริ่มต้น ดังนี้
1. การเลือกซื้อ :
เลือกซื้อต้นไทร จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สำรวจต้นไทรก่อนว่า ใบและราก มีสุขภาพดีไหม เพราะปัญหาส่วนใหญ่ของการซื้อต้นไม้ที่โตแล้วมาปลูก ถ้าเราได้ต้นไม้ที่อ่อนแอ เราจะบำรุงมากขนาดไหน ก็จะโตยากหน่อย แถมยังเป็นพาหะ นำโรค ชื้อรา และศัตรูพืช เข้ามาในพื้นที่เพาะปลูกอีกด้วย
2. วัสดุปลูก และภาชนะเพาะปลูก :
- วัสดุปลูก ดินเพาะปลูก ควรมีอินทรีย์วัตถุ เช่น เปลือกมะพร้าวสับ ขุยมะพร้าว หรือ ใบไม้แห้ง เป็นส่วนผสม เพื่อเป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์ และช่วยให้การระบายน้ำได้ดี เพราะถ้าน้ำขัง ก็เท่ากับว่าเป็นการหยุดการเจริญเติบโตของพืช ส่งผลให้พืชมีใบเหลือง ใบร่วงบาง และตาย ในที่สุด
- ภาชนะปลูก ควรเลือกขนาดที่ใหญ่ เพราะเวลาต้นไทรรเติบโตขึ้น เขาจะขยายรากได้อย่างรวดเร็ว และมีจำนวนมาก ดังนั้น ภาชนะปลูก จึงจำเป็นต้องมีขนาดที่ใหญ่เพียงพอ เพื่อให้บรรจุวัสดุปลูกลงไปได้ในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังต้องเลือกภาชนะปลูก ที่มีรูระบายน้ำได้ดี เพื่อป้องกันน้ำขัง เวลาเข้าหน้าฝน เพราะจะทำให้ดินเพาะปลูก และวัสดุเพาะปลูกแข็ง การแตกรากก็จะยาก ทำให้พืชเจริญเติบโต ช้ากว่าปกติ
- หากปลูกลงดิน ควรขุดดิน ให้ลึกลงไป อย่างน้อยๆ 50 ซม. ตรงนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ ถ้าขุดไม่ลึกพอ เวลาต้นไทรสูงขึ้น แตกกิ่งใบหนาแน่น การต้านลมก็จะมีมาก ทำให้ต้นไทรนั้นเอนเอง หรือล้มลงได้ ถ้าจะให้ดี ควรขุดลึกลงไปให้ใกล้เคียง 1 เมตร จะดีมากๆ
- ช่วงใหม่ๆ ถ้าซื้อต้นไทร ที่มีขนาดความสูง ตั้งแต่ 1 เมตร ขึ้นไป โดยเฉพาะการปลูกลงดิน ต้องทำแนวยึดลำต้น เพื่อพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม และให้รากเดินลงดินได้ดีเสียก่อน ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ไม่ไผ่เป็นตัวยึด เมื่อนานๆไปไม้ไผ่ก็จะผุพังไปพร้อมๆกับรากไทร ที่หยั่งลึกลงในดิน พอดี
3. การดูแลรดน้ำ และให้ธาตุอาหารพืช :
การให้น้ำต้นไทรนั้น ให้พิจารณาตามสภาพอากาศ ปกติจะรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น แต่ถ้าอากาศร้อนจัด อาจจะเพิ่มการรดน้ำในช่วงกลางวันด้วย ซึ่งการรดน้ำนั้น สามารถรดน้ำได้บ่อย แต่ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำแบบครั้งเดียวแต่ชุ่มแฉะ เพราะจะทำให้ดินอัดแน่น ดินแข็งในเวลาต่อมา ซึ่งจะทำให้ไทรไม่เจริญเติบโต
สำหรับ organicslife.co เราได้ใช้ Pulsator Sprinkler หรือที่เรียกว่า สปริงเกอร์ฉีดพ่นน้ำเป็นจังหวะ ซึ่งสามารถเปิดน้ำทิ้งไว้ได้เลย โดยไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ในการจ่ายน้ำ และอัตราการจ่ายปริมาณน้ำนั้น ก็สุดแสนจะประหยุด กว่าสปริงเกอร์ทั่วๆ ถึง 10 เท่า เพราะอัตราการจ่ายน้ำ อยู่ที่ 2 ลิตร/ชั่วโมง ส่วนสปริงเกอร์ทั่วไป จ่ายต่ำสุดก็ 24 ลิตร/ชั่วโมง
ซึ่งถือว่า Pulsator Sprinkler นั้น ประหยัดน้ำได้มากกว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า โดยเราสามารถต่อตรงจากก๊อกน้ำ หรือจากแทงก์น้ำสูงได้เลย
การให้น้ำแบบครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ จะมีผลดีต่อการเจริญเติบโตของพืช มากกว่าการรดน้ำให้ชุ่มๆ แฉะ ครั้งเดียว พอดินแฉะ จุลินทรีย์ที่อยู่ใต้ดินก็จะหยุดทำงาน ทำให้ดินแข็ง ซึ่งกลายเป็นปัญหาในการเพาะปลูกตามมา
4. การตัดแต่งกิ่งใบและยอด :
การตัดแต่งกิ่งใบ และยอด สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำอย่างน้อยเดือนเว้นเดือน หรือเดือนละครั้ง ได้ยิ่งดี คนส่วนใหญ่ต้องการให้ต้นไทรมีใบแน่น และสูง จึงไม่นิยมตัดแต่งใบ และยอดของต้นไทร โดยปล่อยให้ กิ่ง ก้าน ใบ ด้านข้างลำต้นให้เติบโตไปตามธรรมชาติ ซึ่งวิธีการแบบนี้ จะทำให้ต้นไทรโตช้า และไม่มีใบเขียวแน่น
ดังนั้น ให้หมั่นตัดยอดต้นไทรให้สั้น และตัดแต่งกิ่ง ก้าน ใบ รอบๆให้สั้นเข้าทรงอยู่สม่ำเสมอ รับรองต้นไทรจะโตเร็วขึ้น และมีใบหนาแน่น อย่างแน่นอน
5. การให้ธาตุอาหารพืช หรือการใส่ปุ๋ย
การให้ธาตุอาหารพืชนั้น ทางเราแนะนำเป็นแบบอินทรีย์ หรือแบบชีวภาพ เท่านั้น เพราะเป็นการป้องกันเรื่องเพลี้ย และเชื้อรา ที่จะทำให้มีปัญหาได้ โดยใช้เอ็นไซม์ธาตุอาหารพืช ฉีดพ่นที่ใบสัปดาห์ละครั้ง หรือ 2 สัปดาห์ต่อครั้งก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้ต้นไทร ได้รับธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริมครบถ้วน
นอกจากนั้น เวลาจุลินทรีย์ลงดิน เขาก็จะสร้างธาตุอาหารให้กับต้นไทรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ต้นไทรแตกรากใหม่ ที่มีภูมิคุ้มกัน และมีความต้านทานต่อโรคสูง อีกด้วย
สำหรับท่านใดที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของทางอีเรฟ ก็จะสังเกตว่าต้นไทรมีใบเขียวแน่น ใบมันวาว ที่สวยงาม
ถ้าสนใจสามารถคลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดกันก่อนได้
6. วิธีแก้ปัญหาเพลี้ยและเชื้อรา และต้นเหตุทำให้ใบเหลืองร่วง ใบหงิก ใบไหม้ เกิดจากอะไร?
ต้นเหตุของปัญหาเพลี้ยและเชื้อรานั้นมักเกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมี หรือสารเคมีบำรุงรักษาต้นและใบ จนทำให้ต้นไทรมีความอ่อนแอ มีความต้านทานต่อโรคต่ำ เพาะปุ๋ยเคมีเป็นปฏิปักษ์ต่อจุลินทรีย์ ที่อยู่ในดิน จึงทำให้ศัตรูพืช ได้แก่เพลี้ยและเชื้อรา บุกโจมตี ระบาดได้ ซึ่งถือว่าเป็นปกติธรรมชาติของพืช เมื่อพืชอ่อนแอ ก็จะถูกโจมตีเป็นธรรมดา
ดังนั้น วิธีป้องกันคือ ให้ใช้เอ็นไซม์กำจัดเพลี้ยและเชื้อราราดโคนต้น (ครั้งแรกครั้งเดียว) และฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ต่อเดือน เพื่อเป็นการป้องกันเพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง ที่จะมาดูดท่อน้ำเลี้ยง แย่งธาตุอาหารพืช ทำให้ต้นไทรมีใบเหลืองร่วง และตายในที่สุด
วิธีแก้ปัญหาเพลี้ยและเชื้อรา ที่ทำให้ใบเหลืองร่วง ใบบาง ใบหงิก ใบไหม้ กลายเป็นกระทู้ที่สอบถามกันเยอะมากในเว็ป Pantip.com และผู้ที่ใช้สินค้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่า ใช้ง่าย ได้ผลจริง
คลิก เพื่อเข้าไปอ่านข้อมูลเอ็นไซม์กำจัดเพลี้ยและเชื้อรา แบบปลอดภัย ของ อีเรฟ
กล่าวสรุปโดยรวม การปลูกต้นไทรนั้นดีหลายอย่าง ทั้งทำรั้วต้นไม้ ทั้งให้ความร่มเย็น สดชื่น สวยงาม สบายตา
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่นิยมปลูกต้นไทรเกาหลีทำรั้ว พรางสายตา กันลม กันฝุ่น สร้างความร่มเย็น และลดอุณหภูมิรอบๆตัวบ้าน นอกจากนี้ ต้นไทรถือว่าเป็นต้นไม้ที่ ถึกทน ดูแลง่าย เมื่อเทียบกับต้นไม้อื่นๆ อีกด้วย